ความทรงจำกับเพื่อนคนนี้ - ความทรงจำกับเพื่อนคนนี้ นิยาย ความทรงจำกับเพื่อนคนนี้ : Dek-D.com - Writer

    ความทรงจำกับเพื่อนคนนี้

    เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับผมตั้งแต่ชั้นประถมต้น-มัธยมต้น เราไม่เคยขัดแย้งกันเลยสักครั้ง เราเคยถูกครูอเมริกัน ลงโทษ พร้อมกัน ก่อนสอบปลายถาคเขาชวนผมไปสอบเรียนจ่าอากาศและจากนั้นมาก็ไม่พบกันอีกเลย

    ผู้เข้าชมรวม

    37

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    37

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ก.ย. 67 / 05:09 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                  ความทรงจำกับเพื่อนคนนี้

              วันชัยกับวัฒนะ เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับผมมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น- ตอนปลาย จนถึงชั้นมัธยมตอนต้น  วันชัย หรืออ๊อดเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว ทหารชั้นประทวน ยศสิบเอก ที่พักในค่ายทหารในอำเภอของจังหวัดชายแดนด้านตะวันออก   สำหรับวัฒนะเป็นลูกของเกษตรกร เขาเป็นบุตรชายคนรองสุดท้องของครอบครัว ผมกับวันชัยมักจะนั่งคู่กันเสมอ  เป็นเพราะว่าเรามีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่มาก 

      “นายมานั่ง กับเราเถอะวะ  เพื่อน “ วันชัยพูด

     “ดีเหมือนกัน “ ผมตอบ กลับไป

       ผลคะแนนการเรียนของวันชัยกับผมไม่แตกต่างกัน ผมกับเขามีผลการเรียนอยู่ในลำดับกลางๆคือสอบได้ลำดับที่สิบต้นๆ คือได้เปอร์เซ็นต์การเรียนอยู่ที่ 75 – 80 เปอร์เซ็นต์ จากนักเรียนในชั้นเรียนทั้งหมด 35 คน สำหรับวัฒนะเป็นคนที่ตั้งใจเรียน เขามีผลการเรียนอยู่ในลำดับที่ 3 ถึง 5 วัฒนะ เป็นคนเรียบร้อย สุภาพ  ไม่ค่อยพูดจา แต่ก็ไมใช่เป็นคนที่ไม่เข้าสังคมกับเพื่อนเลย   

        ผมกับวันชัยจะถูกคอกัน เกือบทุกเรื่อง บ่อยๆครั้งผมจะไปเช่าหนังสือที่ร้านเช่าหนังสือที่ตลาดนอก บนถนนเจ้าพระยาบดินทร์ ชื่อร้านมุ่ยเอี๊ยะ ร้านนี้เป็นร้านที่ให้บริการเช่าหนังสือการ์ตูน  นวนิยาย และหนังสือบันเทิงทุกอย่าง เงื่อนไขการให้เช่าคือต้องมีการมัดจำเงินไว้ หากนำหนังสือมาคืน จึงจะได้เงินมัดจำคืน ส่วนใหญ่การให้ยืมหนังสือมาอ่าน จะให้เวลายาวสุดเพียงสองวันเท่านั้น กรณีหากหนังสือชำรุดหรือผู้ยืมทำหาย ทางร้านจะปรับหรือให้ชดใช้ตามราคาปก  

         ปกติ ไอ้อ๊อด จะมาโรงเรียนก่อนผมทุกวัน เนื่องจากทางค่ายทหารได้จัดยานพาหนะให้ขึ้นฟรี ทั้งขาไปและขากลับ  รถจะรอรับเด็กนักเรียนที่ศูนย์รวมรับ ตรงถนนทางขึ้นหน่วยสารวัตรทหาร (ส.ห) หน้าที่ทำการทหารเสนารักษ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ  เวลานัดหมายที่รถจะออกคือ เวลา 07.00 น.หลังจากที่นายสิบที่มีหน้าที่คอยบริการนับจำนวนเด็กครบตามจำนวนแแล้ว  ก็จะบอกให้พลขับออกรถได้ โรงเรียนที่อยู่ใกล้ค่ายทหารที่สุดมีระยะห่างประมาณ 600 เมตร ส่วนโรงเรียนที่ผมกับไอ้อ๊อดเรียนห่างจากค่ายเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 100 เมตร  

        เมื่ออ๊อดมาถึงโรงเรียน เขาจะนำกระเป๋านักเรียนมาเก็บ และเมื่อเจอเพื่อนๆที่มาเช้าเหมือนกันก็จะชวนกันมาเล่นปาบอล โดยใช้ลูกเทนนิสเก่าๆที่ไปขอจากสนามเทนนิสสถานีรถไฟ 

      “ไอ้นาจ ไอ้เบี้ยว  ไอ้ส่ง ไอ้ชาย ไอ้ดำ ไอ้ระ  พวกเราไปเล่นปาบอลตรงลานหน้าเสาธงกันเร็ว  เดี๋ยวกลุ่มอื่นจะมาชิงแย่งพื้นที่เล่นไปก่อน” อ๊อด บอกเพื่อนๆ

        ช่วงสายๆตั้งแต่เวลา7.30 เป็นต้นไป เด็กนักเรียนที่อยู่ในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลจะทยอยมาโรงเรียนกันมากขึ้น โรงเรียนที่ผมเรียนมีนักเรียนเกือบพันคน ระดับการศึกษาที่รับนักเรียนเข้าเรียนคือมีตั้งแต่ชั้นป.1-ป.7  ณ.เวลานั้น นักเรียนทั้งชาย-หญิง จะต้องสวมหมวก(กะโล่) พลาสติก มาด้วย เป็นกฎระเบียบของโรงเรียน เมื่อมาถึงห้องเรียนทุกคนจะนำเอาหมวกไปแขวนในที่จัดไว้ให้  ที่โรงอาหารของโรงเรียนจะมีนักเรียนกลุ่มที่ไม่ได้กินข้าวมาจากบ้าน แวะมาหาซื้อข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน  ขนม  น้ำหวาน และไอสครีมกินกัน  

       ส่วนใหญ่ผมจะมาถึงโรงเรียนก่อนเข้าแถวประมาณ 15 นาที เมื่อนำกระเป๋ามาเก็บเข้าที่แล้ว ก็ออกมาลานสนามหน้าเสาธงที่เพื่อนๆ กำลังเล่นปาบอลกันอย่างสนุกสนาน

       “เฮ้ย ขอเล่นด้วยคน สิ  ”  ผมตะโกนบอกไปในกลุ่ม  

         ทุกคนในวัยเด็กคงจะมีประสบการณ์การเล่นเกมนี้ จึงย่อมทราบถึงกติกาการเล่นดี  แน่นอนว่าหากใครจับลูกบอลได้ คนนั้นย่อมที่จะเลือกปาหรือกว้างใส่กับบุคคลที่อยู่ใกล้ตัว หรือปาใส่กับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าหรือหมั่นไส้กันมาก่อน อย่างในห้องที่ผมเรียน สมชายที่ชอบขี้เก๊กกับเพื่อนๆ มักจะถูกเพื่อนๆปาบอลใส่ตัวเขา จนเจ็บบ่อยๆ แต่เขายังคงไม่เข็ด เมื่อระฆังดังแล้ว พวกเราแต่ละคนก็จะเดินมาล้างหน้าล้างตา เพื่อรอเข้าแถวเคารพธงชาติ จากนั้นจึงสวดมนต์เช้า ฟังครูขึ้นพูดอบรมเรื่องระเบียบวินัย  บ่อยๆครั้งที่แดดร้อนจัด จะมีนักเรียนต้องถูกประคองปีกไปห้องปฐมพยาบาล เพราะเป็นลม ห้องเรียนที่ผมเรียนเป็นแบบคละกัน มีทั้งชายและหญิง เมื่อนักเรียนฟังการพูดอบรมเสร็จแล้ว นักเรียนจึงเข้าชั้นเรียน ใครเรียนอยู่อาคารไหนก็เดินเรียงแถวเข้าชั้นเรียนของตน 

         “วันนี้กูได้ การ์ตูนจากร้านเช่าหนังสือมาสองเล่มว่ะ  เดี๋ยวเรามาผลัดกันอ่านกัน คนละเล่มนะก่อน แล้วค่อยมาเปลี่ยนกันอีก  ”ผมพูด

      อ๊อดรับหนังสือจากมือผม แล้วดูหน้าปกอย่างตั้งใจ  จากนั้นเขาจึงพลิกเปิดดูภาพและอ่านเนื้อหา  บ่อยๆ ครั้งที่ช่วงเรียนเสร็จ ผมกับเขาจะเอาการ์ตูนมาพากษ์อย่างสนุกสนาน อ๊อดเป็นคนถนัดซ้าย ดังนั้นเวลาเขียนหนังสือ มือของเขากับผมจะมาเกยและชนกันบ่อยๆ  เพื่อนนักเรียนหญิงมักจะมาไหว้วานให้เขาวาดรูปตุ๊กตาผู้หญิง  และพวกเธอก็จะไประบายสีกันเอง

       “นายอ๊อด เธอว่างมั้ย ช่วยวาดตุ๊กตาให้เรา สักสามตัวสิ ” สุชาดา พูด

       “วาดให้เราด้วย ” วัฒนา พูด 

       เพื่อนหญิงสองคนนี้มีความสนิทสนมกัน บ้านของเธออยู่ในชุมชนเดียวกันคือชุมชนมิตรสัมพันธ์  สุชาดา บ้านอยู่ใกล้กับสระน้ำส่วนวัฒนา บ้านอยู่เข้าไปในตรอกแคบๆ ลึกเข้าไปอีกประมาณ200 เมตร  จุดนี้ผมเข้า-ออกบ่อยๆ เพราะนำเอาขนมที่แม่ผลิตไปขายให้ชาวบ้านซื้อกิน

        อ๊อดเป็นคนพูดง่าย ช่วงที่ยังเรียน ป.3-ป.4  เมื่อเขาเป็นหวัดมักจะมีน้ำมูกไหลย้อย  จนครูประจำชั้นต้องสั่งให้เขาไปจัดการชำระล้าง ให้เรียบร้อย  บ่อยๆครั้งเขาจะใช้มือปาดน้ำมูกจนเป็นรอยคาบเป็นปื้นให้เห็น 

      “เด็กชายวันชัย  ลุกขึ้น…ไปทำความสะอาดหน้าตา ที่ก๊อกน้ำเลย เดี๋ยวนี้  ” ครูประจำชั้นสั่ง

       “ครับ”  เขาตอบ แล้วก็เดินออกจากห้องไป 

        ครู่ต่อมา.. เขาจึงกลับเข้ามาในห้องเรียน เพื่อเรียนหนังสือตามปกติ  ผมมักชอบมองไอ้อ๊อด เวลาที่เขาเขียนหนังสือ เพราะปากของเขาจะบิดเบี้ยว ไปตามตัวอักษรที่เขียน

      “มึงมองอะไรเหรอ  วะ  ” อ๊อดถาม

     “เปล่า  ไม่ได้มองอะไร ” ผมตอบ

      “ก็กูสังเกตเห็นมึงมองกูบ่อยๆ  ”

      “อ้อ ชอบมึงเวลาเขียนหนังสือ ปากจะบิด ไปบิดมา ” 

            อ๊อด เคยชินกับผมแล้ว  เขาจึงไม่สนใจตอนที่ผมจะมองเขาเขียนหนังสือช่วงที่ไม่ได้เรียน  ผมกับเขาจะมานั่งวาดรูปการ์ตูน ฝีมือการวาดรูปของเขานับว่ายอดเยี่ยมมาก ดังกับนักวาดมืออาชีพ  

         เพื่อนเรียนชายอีกคน คือวัฒนะ  วัฒนะเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยพูด หน้าตาดี บุคลิกดี เขามีความสามารถในการกีฬา เป็นเพราะมีรูปร่างโตกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน แม้เขาจะเป็นลูกเกษตรกร แ่ต่เขาก็ไม่ค่อยจะได้ไปช่วยทำนา เหมือนลูกเกษตรกรคนอื่นๆ 

                                           ***************************

      ตั้งแต่เรียนร่วมกันมา ตั้งแต่ป.1- ป7  ผมกับวัฒนะ ไม่ถึงกับสนิทกันมากนัก อาจจะมีกิจกรรมกันบ้าง อย่างเช่นเล่นฟุตบอล  การมาช่วยกันทำพานไหว้ครู  มาลงเทียนห้องเรียน เขาก็จะมาร่วมกิจกรรมไม่เคยขาด หากจะพูดถึงความซุกซน ดูเหมือนวัฒนะจะไม่ใช่เป็นคนอย่างเราทั้งสองคน  เมื่อจบชั้นป.7 เราทั้งสามมาสอบเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมต้น ของโรงเรียนประจำอำเภอ บังเอิญเราต้องมาเรียนร่วมห้องเดียวกันอีก   ช่วงเรียนชั้นมศ. 1ช่วงแรกผมนั่งอยู่ริมหน้าต่าง แต่เมื่อน่ั่งเรียนไปสักระยะเห็นว่า เพื่อนที่นั่งด้วยกันไม่ค่อยรู้ใจ จึงคุยกับวันชัยว่าจะมาขอนั่งด้วย ตรงริมประตูหลังห้อง 

    “เฮ้ยอ๊อด เราขอมานั่งกับนายเหมือนตอนเรียนชั้นประถมนะ ”ผมพูด

     “ไอ้บุญส่ง มันนั่งกับเรา ลองคุยกับมันดูว่า มันจะยอมย้ายหรือเปล่า ”

    “ได้  เดี๋ยวเราจะลองดู” ผมพูด

      จากนั้นมา…ผมได้ลองคุยกับบุญส่ง  ซึ่งเขาได้ยินยอมที่จะแลกเปลี่ยนที่นั่งกับผมโดยมิลังเล จากนั้นมาผมกับวันชัยก็ได้นั่งร่วมโต๊ะติดกันเรื่อยมา  เรามักจะมีกิจกรรมอะไรทำโดยไม่เหงาและไม่เบื่อ โดยเฉพาะช่วงเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ผมกับวันชัยค่อนข้างหมั่นไส้เพื่อนหญิงที่นั่งใกล้กับผมคือบุญทรงกับสุชาดา  ทุกครั้งที่อาจารย์จิมมี่ ชาวอเมริกัน ครูอาสาสมัครหนุ่มรูปหล่อที่มาสอนร่วมกับครูคนไทยที่เป็นภริยาอาจารย์ใหญ่  เพื่อนสาวทั้งสองมักจะดีอกดีใจนอกหน้า เวลาครูฝรั่งคนนี้ให้ทำกิจกรรมร้องเพลง เธอมักจะตะเบ็งเสียงร้องเพลงจนผมกับไอ้อ๊อดรำคาญ  ผมสองคนค่อนข้างแอนตี้การร้องเพลงฝรั่ง เพราะคิดว่ามันไม่มีสาระที่จะต้องไปเสียเวลาร้องให้เหนื่อยเปล่า

       “เดี๋ยวอาจารย์จิม เขียนเนื้อเพลงบนกระดาน มึงกับกูมาเล่นปาเป้า ท้าพนันเลี้ยงข้าวแกงกันคนละมื้อ ”  ผมพูด และเป็นต้นคิด 

       “โอเค โว้ยเพื่อน  ”

       วันชัยฉีกกระดาษตรงกลางเล่ม ซึ่งจะเป็นคู่กลางที่มีไส้แม็กส์เย็บพอดี  สมุดหลายๆ เล่มที่บางลง เพราะพวกเราจะฉีกเอามาพับเป็นคางหมูไว้ใส่ชอล์กแล้วไปสลัดแกล้งเพื่อนๆ  พับเป็นตัวนกกระยาง พับเป็นเครื่องบินล่อนแข่งกัน  พับเป็นเรือสำเภา พับเป็นปืนและรูปอื่นๆ หลังจากไอ้อ๊อด ดึงกระดาษตรงกลางสมุดออกมาแล้ว เขาได้นำวงเวียนมาจับเป็นรัศมีวงกลม 6 รอบ แล้วเขียนระบุกำหนดค่าคะแนนของแต่ละวง เริ่มจากชั้นในวงกลมเล็กสุด มีค่าคะแนน 100 และลดหลั่นเป็น 80  50  30  10 และ 5 คะแนน จากนั้นผมกับวันชัยก็สลับกันทำหน้าที่ปาเป้า โดยจะหมุนเวียนกันเป็นคนจดแต้มคะแนน

      “มาเป่ายิ้งฉุบ ว่าใครจะเป็นคนเริ่มต้นปาเป้าก่อน” ผมเสนอวิธีการ

      “โอ เค งั้นเริ่ม ”

      “เป่ายิ้งฉุบ” เราสองคนเปล่งเสียงพอได้ยิน ขณะที่อาจารย์จิม หันหลังเพื่อเอาชอลฺ์กเขียนเนื้อเพลงเพื่อสอนให้พวกเราร้องเพลง   อ๊อด.. เอามือเป็นสัญลักษณ์กระดาษ ผมใช้มือออกสัญลักษณ์กางนิ้ว เป็นกรรไกร   ดังนั้นผมจึงชนะอ๊อด ในการเสี่ยงทายการเริ่มต้นเล่น  อ๊อด ไปนั่งใกล้ริมประตู ผมต้องเอาตัวออกมาด้านนอกให้ไกลจากเป้าประมาณสองเมตร   จากนั้นเราสองคนก็รอที่อาจารย์จิมมี่จะสอนร้องเพลง

       “รอก่อนโว้ย  รอตอนที่พวกเราในห้องตะโกนร้องเพลงกันดังๆก่อน  จึงค่อยปาเป้า เดี๋ยวเสียงวงเวียนมันกระทบประตู มันจะดังจนอาจารย์จิม ได้ยิน   ” ผมพูด

       เมื่อช่วงที่อาจารย์จิมมี่จดเนื้อเพลง  เขาได้ให้นักเรียนทุกคนลอกเนื้อเพลงลงในสมุดด้วย แต่ผมกับอ๊อดไม่ปฎิบัติิตาม  จากนั้นเขาได้ใช้ไม้เรียวชี้ลงในเนื้อเพลงบนกระดานดำแล้วอ่าน และให้นักเรียนอ่านตาม หลังจากเขาพอใจดีแล้ว จึงหยิบกีตาร์มาปรับคีย์เสียงสักครู่  จากนั้นเขาจึงร้องเพลงเป็นตัวอย่างสามเที่ยว แล้วให้พวกเราร้องตาม ตอนที่เพื่อนๆตะเบ็งร้องเพลงอย่างมีความสุข ผมกับไอ้อ๊อดได้จังหวะจึงเริ่มเล่น เราสลับกันปาเป้าผลัดกันจดแต้ม เวลานั้นยังไม่มีเหตุการณ์ใดผิดสังเกต  เขายังคงเล่นกีตาร์และร้องเพลงร่วมกับนักเรียนต่อไป  จนช่วงหนึ่งที่เขาหยุดเพราะคงเห็นกิริยาของเราสองคนที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนที่นั่งกันไปมา  และเขาคงรอจับพิรุธกับเสียงที่มันดัง ปั่กๆๆๆ เป็นระยะๆ  ช่วงหนึ่งที่เราปาเป้ากันเพลิน จนลืมมองไปยังครูฝรั่งที่กำลังเล่นกีตาร์ที่หน้าห้องเรียน  เขาได้เดินมาเห็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนแล้วเนื่องจากวงเวียนที่ผมปาเข้าเป้าวงกลมได้นิ่งสนิทตรงแต้มที่ 50  

    “เฮ้ย. จารย์จิมมาแล้ว รีบเอาวงเวียนซ่อน เร็ว ” ผมพูด  

    ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะอาจารย์จิมไปคว้าเป้ามาถือในมือพร้อมวงเวียน เขายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า

    “เชิญ..เธอทั้งสองคน ออกนอกชั้นเรียนไปนั่ง ที่ระเบียงและห้ามไปไหน” อาจารย์จิมมี่ พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงฝรั่ง

    ผมกับวันชัย เดินออกจากเก้าอี้ที่นั่งเรียน ไปยังระเบียงตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

     “ดีเหมือนกัน  ไม่ต้องมาทนรำคาญฟังเพลงอะไรไม่รู้ เราไปที่สนามกีฬาดีกว่าว่ะอ๊อด ไปดูเพื่อนๆอีกห้องที่กำลังเรียนวิชาพลศึกษา” ผมพูด

     “ไม่เลว ว่ะ  เผื่อเราจะได้ลงไปเล่นบาส ด้วยเลย”อ๊อดสนับสนุนแนวคิด

     หลังจากอาจารย์จิมมี่สอนเสร็จ เขาได้เดินออกมาดู เพื่อจะมาพบผมกับไอ้อ๊อด แต่ก็ไม่เจอจึงทำให้เขาโกรธมากถึงกับไปฟ้องกับอาจารยฺฝ่ายปกครองและในที่สุด ผมกับไอ้อ๊อดก็ถูกอาจารย์ฝรั่งคนนี้ หวดก้นคนละสามครั้ง นับเป็นนักเรียนที่ถูกอาจารย์ต่างชาติลงโทษเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว   

                                           ****************************** 

      จากนั้นเรื่อยมาที่สอบเลื่อนชั้น  ผมกับอ๊อดก็จะเป็นขาประจำ จับคู่นังเรียนด้วยกัน ผมกับอ๊อดมีความถนัดการเรียนต่างวิชา โดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับทางช่างไฟฟ้า ช่างประปา และช่างไม้ ผมไม่ค่อยจะถนัดนัก  จึงมักขอแรงให้เขาช่วยทำให้บ้าง เพื่อส่งงานให้ครูผู้สอนที่ได้มอบหมายชิ้นงานมาให้ทำ

    “โคมไฟฟ้า ที่อาจารย์อุทัยให้ส่งวันจันทร์ หน้า เรายังทำไม่เสร็จเลยว่ะ ไงช่วยไปจัดการใช้เลื่อยในห้องเรียนอุตสาหกรรมศิลป์ให้หน่อยนะ” ผมพูด

    “โอเค เดี๋ยวจัดให้”อ๊อดรับปาก

      ในการคบหาของผมกับอ๊อด  ไม่เคยมีความขัดแย้งหรือมีปากเสียง กระทบกระทั่งกันแม้แต่ครั้งเดียว  ระยะหลังเขาเคยชวนผมไปเที่ยวที่บ้านพักในค่ายทหาร จำได้ว่าเคยไปเกือบสิบครั้งและมีโอกาสได้พบทั้งพ่อและแม่ของเขา การเรียนของเราแม้จะได้คะแนนไม่สูงแต่ก็เอาตัวรอดได้ จนเมื่อถึงเทอมสุดท้ายของการเรียนชั้น มศ.3 

       “เฮ้ย เพื่อน นี่ก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว นายตั้งใจจะไปเรียนต่อที่ไหนหรือ” อ๊อดถาม

      “ใจจริงเรา อยากเป็นทหารเรือแบบพ่อของเราว่ะ เครื่องแบบที่ใส่ดูสวยดี ว่าแต่นายล่ะ ”ผมพูด

      “นี่เราคุยกับวัฒนะ สมศักดิ์ และพรชัยแล้วว่าจะไปสอบเรียนต่อที่โรงเรียนจ่าอากาศ กันน่ะ จะไปด้วยกันมั้ย จะได้ไปพร้อมๆ กันเลย” อ๊อดพูด

    “อยากไปเหมือนกัน แต่พ่อของเรา อยากให้สอบโรงเรียนเตรียมทหารว่ะ” ผมพูด

    “ยากจะตาย พวกเราเด็กบ้านนอก จะไปสู้เด็กในเมืองใหญ่และเด็กในกรุงเทพได้ไง เขากวดวิชากันล่วงหน้าเป็นปีๆ เลย”

     “ใช่  งั้นเราจะบอกกับพ่อว่า อย่าให้ไปสมัครสอบเลยดีกว่า ” ผมพูด

      หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ พวกเราต่างไปรับเอกสาร(ใบสุทธิ)  เพื่อใช้เป็นหลักฐานไปสมัครเรียนต่อ  เพื่อนที่มีจุดมุ่งหมายที่โรงเรียนจ่าอากาศต่างไปสมัครสอบ และเมื่อประกาศผลมีคนเดียวที่ไม่ผ่านคือสมศักดิ์ เนื่องจาก เพราะขาดคุณสมบัติคือ เป็นตาบอดสี  ส่วนผมพี่ชายลองให้มาสอบเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบผลคือได้สอบ แต่สอบไม่ติดจึงมาเรียนที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส นับแต่นั้นมาผมกับเพื่อนทั้งสามคนคือวันชัย วัฒนะ  พรชัย ต่างเดินทางไปในสายวิชาชีพของตน 

    อ๊อดกับพรชัยได้เลือกเรียนในเหล่าสื่อสาร ส่วนวัฒนะเลือกเรียนเหล่าอุตุนิยมวิทยา ช่วงที่จบมศ.3 มาใหม่ๆ เรายังพบกันเพียงครั้ง-สองครั้ง  ทั้งสามคนที่ผมพบอยู่ในเครื่องแบบ มีความสมาร์ทสมชายชาติทหาร  เพราะมีการฝึกฝนอย่างเข้มแข็ง แต่หลังจากนั้นม าผมก็ไม่เคยพบกับเพื่อนทั้งสามอีกเลย  สิบปีต่อมา..ทีีผมได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ได้พบกับน้องชายของอ๊อด

    “ไงน้อง ..ไอ้อ๊อด ไปเป็นทหารอากาศ อยู่ที่ไหนเหรอ ”

    “พี่อ๊อดเสียชีวิตแล้วครับพี่ ”น้องชายของอ๊อดพูด

    “อ้าว เสียเมื่อไหร่  ”

    “พี่อ๊อด เสียที่อุบลฯ มีครอบครัวแล้ว แต่ไม่มีลูก เสียชีวิตตอนอายุ 30 ปีครับ”

    “เป็นอะไร ถึงเสีย ล่ะ ”

    “ป่วยครับ  ”

         เป็นเรื่องที่ผิดคลาดอย่างมาก  ผมไม่คิดเลยว่าเพื่อนคนนี้ จะจบชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม ทั้งๆที่เขาเป็นคนแข็งแรง ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่ าสิ่งที่ได้ยินกับหูจะเป็นความจริง   ภาพความหลังไอ้อ๊อด เพื่อนสนิทที่มีขี้มูกโป่งไหลเยิ้ม ที่เคยนั่งอ่านการ์ตูน และพากษ์การ์ตูนด้วยกันกับผม ทั้งยังเคยรวมหัวกันแกล้งเพื่อนหญิงอย่างสุชาดา วัฒนา สมควร กับบุญจง เสมอๆจนถูกครูเรียกไปชำระโทษบ่อยๆ และสุดท้ายที่ไม่มีวันลืมคือเราได้เป็นคูหู ที่ได้รับคำชมจากประชาชนในตลาด ช่วงที่เป็นลูกเสือสามัญในการให้การดูแลให้ความสะดวกในการรักษาความปลอดภัยและความสะดวกเกี่ยวกับรถจักรยานทุกเช้าตั้งแต่เวลา06.00-08.00 น.

          ชีวิตของคนเราแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน. เช่นเดียวกับไอ้อ๊อด   ผมไม่นึกเลยว่าชีวิตของเขาจะสั้นนัก  

                       ห้าสิบกว่าปี  ..หลังเรียนจบมัธยมต้น ผมกับไอ้อ๊อด ไม่เคยพบกันเลย  แม้แต่ครั้งเดียว.

                                                     ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                     (๒๙-๙-๖๗)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×